คอมพิวเตอร์มีไวรัส
แทนที่จะหาทางกำจัดไวรัสทิ้ง
ก็เอาแต่กดปุ่มปิดเครื่อง แล้วเปิดใหม่อยู่ได้
แล้วไวรัสมันออกไปที่ไหนล่ะ
คนบางคนก็เชย ใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น แต่ชอบขอแจมมาปิดเครื่อง เปิดใหม่ ชอบมาขอกดปุ่มรีสตาร์ทอยู่ได้
กร๊ากกก ชอบ ๆ
กำจัดไวรัสด้วยการปิดเครื่อง?, Etat de droit
tags: computer virus | not politics
7 responses to “Anti-Virus”
ผมว่าไม่เหมือนนะน่าจะเท่ากับการกำจัด virus โดยการ format harddisk มากกว่าขี่ช้างจับตั๊กแตนแท้ๆformat เสร็จแล้วก็อยู่ที่ว่าเอาอะไรมาลงอีก ลง antivirus ไหม และพฤติกรรมการใช้เครื่องเป็นไงป้องกันไม่ดีก็ต้องติด virus อีกอยู่ดีแล้วจะ format อีกไหม?
แต่ผมว่า ไวรัส เนี่ย ถ้าเราหาทางกำจัด Virus มันก็คงดีอยู่หรอก มันก็คงจะดีกว่าเปิด ปิดเครื่องเป็นแน่แท้ แต่ถ้าไวรัสที่มันทำลาย อย่างอื่นแทนล่ะ เช่น Bios แบบนี้ล่ะ ยังไงก็ต้อง ลง Bios ใหม่ เพราะมัน Boot ไม่ได้ตั้งแต่แรก แล้วจะไปกำจัดมันได้ยังไง มันจะดีกว่ามากๆ ถ้าเราป้องกัน ไว้อย่างดี แต่ก็ต้องยอมรับว่า ต่อให้มันกันไว้อย่างดี มันก็ระบาด ได้อยู่ดี แต่ความเสียหายมันก็น้อยกว่า .. การ Format เป็นทางออก แบบหนึ่ง นั่นก็คือถอยหลังเข้าคลองนั่นเหละ เพราะบางทีมันก็ไม่รู้จะแก้ยังไง บางที virus มันก็ไปแก้ไข Registry , Antivirus มันก็อาจจะกู้ไม่ได้หมด แต่การ Format ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะต้องมาลงโปรแกรมอื่นๆ ตามมาอีก หลายอย่าง ทำบ่อยๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรพอดี
ที่บ้าน ไม่ค่อยโดนไวรัสกินหรอกส่วนใหญ่ เป็นที่รูปแบบการใช้งานมากกว่า ถ้าใช้อะไรที่เสี่ยงอยู่บ่อยๆ โอกาสจะติดมันก็สูง จะแก้วิธีไหน ไม่นานก็กลับมาติดไวรัสอีกหนอยู่ดี
ตอนแรกๆก็นึกว่าเรื่องคอมพิวเตอร์พออ่านไปอ่านมา "เฮ้ย นี่มันการเมืองนี่หว่า"งั้นขอบอกว่า ในบางกรณี ไวรัสมันไม่ได้ไปกินเฉพาะ OS อย่างเดียว แต่มันไปกินถึง "แอนตี้ไวรัส" ด้วย แม้กระทั่งเอาแอนตี้ไวรัสตัวใหม่มาลง ไวรัสก็อาจวิ่งจาก OS ไปคุมแอนตี้ไวรัสตัวใหม่ซะอีกเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็มีวิธีจัดการอยู่อย่างเดียว คือ format ทิ้ง
but, do we have any Backup ?do we ready to lost all our stuffs ?(which some of them we got it with blood and tears)brute-force Format the disk is easy,a one stupid click.an unrecoverable click.
เรียกได้ว่าคอมเราโดยrootkitเข้าไปแล้วซินะมีสองวิธีแก้1. ใช้rootkit revealer2. format
จริงอยู่ครับ ที่คนเขียน ต้องการเอาเรื่องนี้ไป สื่อกับการเอารัฐประหารเข้ามาแก้ปัญหาการเมือง และ ผมเห็นด้วยครับว่า การใช้วิธีการรัฐประหารเป็นเรื่องล้าสมัย และน่าจะเลิกทำไปได้แล้ว เพราะมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้หรอก แต่ผมว่า เขาไปเทียบว่า ไวรัส คือ ปัญหาการเมือง แล้วปิดเครื่อง คือ การรัฐประหาร อันนี้ไม่ถูกจุด แล้วจริง ๆ มันก็ ไม่เข้ากันด้วย…เพราะ…ในความเป็นจริง จะมีใครที่ไหนล่ะ พอเครื่องติดไวรัส แล้วแก้ง่าย ๆ ด้วยการแค่ "ปิดเครื่อง" แล้วเปิดใหม่ โดยหวังว่ามันจะ "เลิกติด" หรือ "ไวรัสมันหายไป"อย่างร้าย ๆ ก็มีแต่ต้อง format เครื่องกันใหม่หมด… อย่างที่คุณความเห็นที่หนึ่งว่า เพื่อล้างไวรัสออก แล้วก็ต้องมา "ตั้งต้น" กันใหม่ (ลงโปรแกรมใหม่ยุ่งยาก) ที่ออกจะเสียเวลา วิธีการที่ ไม่กระทบของเก่า ไม่ต้องเสียเวลาลงโปรแกรมใหม่ ก็คือ หาแอนตี้ไวรัสมาฆ่ามัันซะ ซึ่งก็ยังมีปัญหาอีกอยู่ดี อย่างที่บางท่านบอก คือ บางที ก็ฆ่าไม่ได้ โปรแกรมหาไม่เจอ หรือไปติดในจุดที่เกินแก้ไข เช่นนี้ ถ้าต้องการบอกว่า "ปัญหาการเมือง" คือ "ไวรัส" ส่วน "การรัฐประหาร" คือ วิธีแก้ไขที่ไม่ถูกต้อง และเสียเวลา ก็ควรจะหมายถึง การ "Format" ครับ ไม่ใช่ "ปิดเครื่อง" แต่แม้กระนั้น จะเปรียบเทียบแบบนี้ ก็ไม่ถูก และไม่สื่ออยู่ดี เพราะอะไร ?เพราะ นั่นย่อมเท่ากับว่า วิธีการฆ่าไวรัส ที่น่าจะถูกต้อง (ในสายตาของผู้เขียนเปรียบเทียบ) ย่อมหมายถึง การหา "แอนตี้ไวรัส" มาขจัดไวรัสออกไป เพื่อจะได้ไม่ต้องเริ่มต้นกันใหม่หมด….ใช่ไหม ?แต่ในเมื่อในความเป็นจริง "ไวรัสคอม ฯ" บางครั้ง มันขจัดไม่ได้ด้วย ตัวแอนตี้ไวรัส (วิธีที่เสียเวลาน้อยกว่าการ format) …สุดท้าย คุณจะจัดการแก้ปัญหายังไงกับไอ้ไวรัสนี้…นอกจากก็ต้องมา format กันใหม่ และตั้งต้นลงโปรแกรมใหม่ (ย้อนเข้า รัฐประหาร อยู่ดี)ดังนั้น สรุป นะครับ คือ ถ้าคิดต่อกันจริง ๆ …คำเปรียบเปรย เรื่อง "ปิดเครื่องฆ่าไวรัส" นี้ กับ ปัญหาการเมือง และ รัฐประหาร มัน "สื่อกันไม่ได้" เลยจริง ๆ ผมว่า ถ้าอยากจะเปรียบเทียบล่ะก็ คุณต้องเปรียบให้ "ไวรัส" หมายถึง "การรัฐประหาร" ครับ ไม่ใช่ ไวรัส หมายถึง ปัญหาการเมือง…ส่วนวิธีแก้ ไวรัฐ(ประหาร) ที่คอยเข้ามาทำลาย (สัง) คอม (ไทย) นั่นหรือ ก็คือ การ format สังคมไทยใหม่ให้เลิก หลงไหล ในไวรัส ตัวนี้ ต่างหาก (แป่ว)