“Television is the first truly democratic culture – the first culture available to everybody and entirely governed by what the people want. The most terrifying thing is what people do want.”
“โทรทัศน์เป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างแรก – วัฒนธรรมอย่างแรกที่ทุกคนเข้าถึงได้และทั้งหมดดำเนินไปโดยสิ่งที่ผู้คนต้องการ. สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือสิ่งที่ผู้คนต้องการจริง ๆ.”
— Clive Barnes on Television (New York Times, December 30, 1969)
สิ่งน่ากลัวที่ว่านั้น ไปได้ทุกที่ รวมถึงในสื่อนฤมิตและอินเทอร์เน็ตด้วย
ที่ตายกันบนถนน ก็ไม่ได้เป็นผลมาจาก “สิ่งที่ผู้คนต้องการ” หรือไง ?
แล้วเราจะโทษใครคนอื่น-โดยตัวเองหนีความรับผิดชอบหรือ ?
technorati tags:
Clive Barnes,
democracy,
television
15 responses to “The most terrifying thing is what people do want”
"โทรทัศน์เป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างแรก – วัฒนธรรมอย่างแรกที่ทุกคนเข้าถึงได้และทั้งหมดดำเนินไปโดยสิ่งที่ผู้คนต้องการ"ไม่ได้เห็นด้วยสักนิดผมเห็นว่า สิ่งที่ผู้คนต้องการ หรือ สิ่งที่ทีวีต้องการกันแน่ ที่นำเสนอผมไม่เห็นชอบ การด่าทอในละคร การนำเสนออย่างปัญญานิ่มในเกมส์โชว์การวิจารณ์เรื่องเล็กน้อยให้เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติมันคือการยัดเยียดให้ยอมรับผมไม่ได้ต้องการของพวกนี้ปัจจุบันผมก็เลิกดูไปเลยข่าว ละคร เกมส์โชว์ ความเห็นของผู้่คนที่เสนอหน้าออกทีวีส่วนการตายบนถนน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนต้องการถ้าคุณคิดว่า นาย CLIVE Barners พูดถูกในแง่การตายบนถนน เป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการผมว่าคุณ โง่แล้วล่ะ หรืออาจตาบอด อคติโคตรผมโทษ ตำรวจโง่ๆ ที่ใช้อาวุธไม่เป็นผมสังเกตุเห็นตั้งแต่การเกิดเหตุการณ์แล้วว่าผิดปกติ น่าจะเกิดจากเจ้าหน้าที่ไม่รู้จักอาวุธที่ตัวเองใช้ ในการสลายผุ้ชุมนุมแถมเจ้าหน้าทุกระดับ ก็งี่เง่าแก้ตัวโทษคนอื่น โทษเจ้านาย โทษลูกน้องเอาแต่หนีความรับผิดชอบแถมอีกนิดนปช. เท่ากับ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผ็ดจการ แห่งชาติหรือ เท่ากับ แนวร่วม[ทุนนิยมธิปไตย|อำนาจนิยมธิปไตย]ขับไล่ใครก็ตามที่ขวางทาง แห่งชาติขอโทษ ที่เลือดมันขึ้นเวลาเห็นการแสดงความไม่รู้สึกรู้สาของ คุณต้น แบบนี้
anonymous:คุณอาจจะไม่ต้องการของบางอย่าง แต่มีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการมันครับ (และกลับกัน)ถ้าผู้คนไม่ต้องการ แล้วโทรทัศน์อย่าง ASTV จะอยู่ได้ไหมครับ ?ถ้าผู้คนไม่ต้องการ จะเกิดการชุมนุมอย่างนี้ไหมครับถ้าผู้คนไม่ต้องการ เขาจะเลือกพรรคพลังประชาชนมาเป็นรัฐบาลไหมครับเราเลือกสิ่งที่เราต้องการ – แต่ใครจะรู้ ว่าการเลือกสิ่งที่เราต้องการ มันอาจนำไปสู่สิ่งที่เราไม่ต้องการก็ได้การตายบนถนนนั้น ถึงผู้คนจะไม่ต้องการมัน แต่ผู้คนเหล่านั้นปฏิเสธได้ไหม ว่าไม่มีส่วนร่วมแม้แต่นิดเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาเราเห็นภาพศพชายคนหนึ่งถูกแขวนคอที่ต้นไม้สนามหลวง ศพของเขาถูกชายอีกคนหนึ่งเอาเก้าอี้ฟาดรอบ ๆ มีคนยืนมุงดู- เราโทษใคร โทษเจ้าหน้าที่รัฐเพียงอย่างเดียวหรือ ?เหตุการณ์อย่าง 6 ตุลา 2519 ไม่สามารถเกิดได้ ถ้าสภาพสังคมมันไม่อำนวย และผู้คนที่อำนวยให้เกิดสภาพเช่นนั้น ก็คือเรา ๆ หรือพ่อแม่ของเรานั่นเองเราเอาแต่เรียกร้องให้คนนั้นคนนี้รับผิดชอบ แต่ไม่เคยคิดจะรับผิดชอบอะไรเองเลยคนเยอรมันจำนวนมาก (แม้ไม่ทั้งหมด) ที่อยู่ในยุคสมัยยฮิตเลอร์โทษตัวเองว่าตัวเองนั่นแหละที่ทำให้เกิดฮิตเลอร์และนาซีขึ้นมาได้ – เราเคยสำรวจตัวเองเช่นนั้นไหม ?
เราต่างพยายามให้ "ภาคประชาสังคม" เข้มแข็งแต่ที่น่าสงสัยก็คือว่า ถ้าภาคประชาสังคม ยังไม่รู้จักรับผิดชอบอะไรเองบ้าง แล้วเมื่อไรภาคประชาสังคมจะโตและเข้มแข็งอย่างต้องการเสียที
ไม่ต้องเลือดขึ้นหรอก คนนี้เหมือนว่าเขาจะเชียร์อีกฝั่งหนึ่งแบบแอบๆ น่ะ สังเกตว่าเหมือนมีหลักการ เสรีภาพบ้าง ประชาธิปไตยบ้าง ฯลฯ แต่สรุปออกมาทีไร ก็จะตำหนิไม่ก็ค่อนขอดฝ่ายที่เห็นตรงข้ามกับรัฐบาลนี้ตลอด พันธมิตรบ้าง ปชป บ้าง เฉียดๆ ฟ้า บ้าง ซึ่งบางทีฟังดูเหมือนมีเหตุผล แต่ดูไปดูมา ก็คือด่าฝ่ายอื่นๆ เพื่อจะยกห่างฝ่ายตัวเองนั่นแหละ เพราะสังเกตว่าจะไม่ค่อยมีวิจารณ์ทักษิณ & gang เท่าไหร่ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่บอกว่าสนับสนุนตรงๆ ซึ่งบอกไปก็ไม่มีใครว่าหรอก
anonymous (2):ถ้ามีเวลา ลองกดย้อนไปประมาณปี 48-49 ดูนะครับใครเป็นผู้เล่นในขณะนั้นผมก็พูดถึงครับ
ผมคิดว่า"โทรทัศน์เป็นวัฒนธรรมทุนนิยมที่แท้จริงอย่างแรก – วัฒนธรรม (ไม่ใช่อย่างแรก) ที่ทุนเข้าถึงได้และทั้งหมดดำเนินไปโดยสิ่งที่ทุนต้องการ"ในกรณี ASTV ผมก็ว่านั่นก็เป็นทุนเหมือนกันประชาชนจะได้ในสิ่งที่ควรได้ก็ต่อเมื่อทุนนั้นมีความเมตตาปราณีต่อพวกเขาเท่านั้นถ้าทุนสนใจแต่กำไร ทุนพร้อมที่จะมอมเมาประชาชนตลอดเวลา และตลอดไป
ktphong พูดเหมือนกับว่า ผู้คนไม่มีอำนาจเลยแม้แต่นิดเดียวเหมือนผู้คนเป็นผู้ถูกระทำตลอดเวลา และการกระทำใด ๆ ของผู้คนต่าง ๆ ไม่มีผลกระทบต่อทุนเลย เหมือนทุนนั้นสามารถลอยอยู่ดำรงสถานะของมันอยู่ได้โดยตัวมันเอง โดยไม่ต้องการการค้ำชูจากผู้คนในระบบของทุนนั้นนี่ก็เป็นการโยนความผิดบาปให้กับทุนแต่ถ่ายเดียวอีกหรือเปล่า ?รัฐผิด ข้าราชการผิด ทหารผิด ตำรวจผิด ทุนผิด สื่อผิด โลกาภิวัตน์ผิด เหลือตัวเราประชาชนที่ไม่ผิด-และจะไม่เคยผิด แบบนั้นหรือเปล่า
ผมอ่านที่คุณ ktphong เขียนในนักการเมืองและข้าราชการ (บางคน) นั่นแหละ ที่สร้างคนอย่างทักษิณขึ้นมาแล้วผมเห็นด้วยอย่างมาก และขอเสริมด้วยว่าก็ประชาชนอย่างเรา ๆ นี่แหละ ที่สร้างนักการเมืองและข้าราชการอย่างนั้นขึ้นมา
ในที่สุดก็เห็น bact' มอง 6 ตุลาฯ เหมือนพี่แล้ว ว่าเหตุมันเกิดเพราะสังคมไทยขณะนั้นต่างหาก จะโทษใครว่าผิดฝ่ายเดียวไม่ได้ แม้แต่นายชวนก็ยังพูดว่ามีคนชวนไปเป็นคอมฯ จริง แต่ไม่ไป (แต่ก็มิได้จัดการอะไร บ้า)ชอบประโยคนี้"คนเยอรมันจำนวนมาก (แม้ไม่ทั้งหมด) ที่อยู่ในยุคสมัยยฮิตเลอร์โทษตัวเองว่าตัวเองนั่นแหละที่ทำให้เกิดฮิตเลอร์ และนาซีขึ้นมาได้ – เราเคยสำรวจตัวเองเช่นนั้นไหม ?"พึ่งรับรู้จากเลขาฯ ที่ภาคฯ ว่าการที่เยอรมันไม่มีเครื่องแบบนักเรียนเพราะเครื่องแบบเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดนาซีเต็มรูป พวกเขาต้องเจ็บช้ำเพราะการไม่มีเครื่องแบบทำให้เกิดความฟุ่มเฟือย(ติดยี่ห้อ)ของเด็กเยอรมันสุดท้าย จริง ๆ และอยากให้ทุกคนระวังการที่โยนบาปไปให้ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ตำรวจ โดยที่ทุกคนโยนบาปไปให้โดยไม่ได้ดูว่า เหตุมันเกิดจากอะไร สิ่งนี้จะทำให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ (ปะทะกันอีกครั้ง พธม. จะตะลุมบอน จะคิดแก้แค้น ทั้งที่ตำรวจก็เจ็บปางตาย)ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วความผิดตำรวจก็ืคือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ฯ (กรณีสรุปตรงกันว่าไม่มีความรู้เรื่องเครื่องมือ) แล้วตำรวจที่บาดเจ็บเพราะถูกยิง ถูกรถทับ ที่หนักสุดคือถูกแทงด้วยธง เหล่านั้นหล่ะ ก็ประชาชนเหมือนกัน พธม. อ่านข่าวสมเด็จเทพฯ กันมั่งหรือเปล่า หุ
หัวข้อนี้มี 2 ประเด็นก็คือเรื่องสิ่งที่ประชาชนต้องการจากโทรทัศน์กับเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมที่เขียนไว้ในความคิดเห็นก่อนหน้า ก็คือเฉพาะเรื่องแรก ด้วยผมเห็นว่า ไม่ใช่โทรทัศน์เป็นอย่างที่ประชาชนตัองการหรอก แต่ประชาชนต่างหากเป็นไปอย่างที่โทรทัศน์ต้องการในเนื้อหานี้ ผมคิดว่าประชาชนไม่มีอำนาจจริง ๆ ข่าวดีก็คือมีช่องเริ่มให้ประชาชนมีอำนาจตอนนี้ที่เห็นก็คือ TPBS แต่ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าจะถูกทุนไหนมายึดเอาไปโดยผ่านกระบวนการทางกฏหมายอันชอบธรรมอีกหรือเปล่าส่วนความรับผิดชอบต่อสังคม ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพราะยังไง ๆ ก็ต้องอยู่ในสังคมเดียวกันอยู่แล้ว
อุ่ย ทำไมอยู่ๆบล็อกเครียดอย่างนี้ เห็นด้วยกับ bact นะคะ เราว่าปัญหามันอยู่ที่ ความต้องการของคนดูมักจะเป็นสิ่งที่ตอบสนอง'อารมณ์' ตัวเองเป็นส่วนใหญ่ (ซึ่งมักจะไร้เหตุผล ยั่วยุ หรือไม่ก็ไร้สาระ) รายการทีวีก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ แต่ถ้าให้แก้ที่ความต้องการก็ยาก เพราะคนเราไม่ค่อยรู้ทันตัวเองเท่าไหร่ บางครั้งแรงขับคืออารมณ์ก็ดันพูดว่าเป็นเหตุผล คิดไปว่า–'เค้าไม่ได้ยั่วยุนะ เค้าพูดมีเหตุผลนะ' แยกแยะไม่ค่อยออก แล้วก็ดูต่อไป(อันนี้รวมตัวเองด้วยนะ) แล้วถึงจะมีรายการให้เลือกดูมากๆ ก็ดันไปเลือกดูแบบเดิมๆอยู่ดีทำไงดีล่ะคะ?ปล ตอนนี้กำลังอ่านหนังสือชื่อ irrationality บอกว่า คนเรามักเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองมีเหตุผล แต่ที่จริงทำอะไรไปด้วยแรงขับอย่างอื่นทั้งสิ้น –ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ระบบประชาธิปไตยแย่เลยนะคะ
Now the White Queen is move; Just wait for another side moving.And we will see how the game will change
วันนี้เจอเรื่องน่าอ่านพระเจ้าของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
ถ้าคนทุกคนคิดเข้าข้างตัวเองโดยเชื่อว่า ตัวเองใช้เหตุผล (มากกว่า) แล้วเราจะมาแสดงความคิดเห็นเพื่ออะไรเพื่อให้คนอื่นคิดเหมือนเรา หรือแล้วหาก เราไปคิดเหมือนใครก็แปลว่า เราเชื่อว่าเขามีเหตุผล ที่เขาเชื่อว่าเป็นเหตุผล แต่จริงๆไม่ใช่เหตุผลสรุป ว่าทีวี นำเสนอ สิ่งที่เราต้องการและ หาก ทีวี เสนอสิ่งที่ใฝ่ต่ำแสดงว่า คนส่วนใหญ่/ทั้งหมด ในสังคม ใฝ่ต่ำแล้ว อย่างนี้ คนเราก็ไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอทั้งแม้ตัวเราจะฝืน แต่สุดท้าย ส่วนใหญ่ก็ไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอดังนั้น การเมืองใหม่ อะไรนั่นน่าจะมาควบคุม บังคับ การสื่อมวลชนมากกว่ามั๊ย?เพราะว่า ทีวี คือ สื่อที่สนุกที่สุด ถูกพอสมควร เมื่อเทียบกับอย่างอื่นๆเพราะว่า ถ้าทีวี นำเสนอข่าว สาระ สอนคน ให้รู้เท่าทัน ทุกๆฝ่าย7/10 ก็ไม่เกิดแน่ยึดทำเนียบก็ไม่เกิดแน่อันนี้ ไม่มีกล่าวโทษ ทีวี แล้วให้ ควบคุมทีวีเพราะเดี๋ยว คุณเจ้าของblog ก็ หาว่า ปิดกั้นสื่อ อะไรอย่างนั้นอีก
ลองแปลใหม่"โทรทัศน์เป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างแรก – วัฒนธรรมอย่างแรกที่ทุกคนเข้าถึงได้และทั้งหมดถูกควบคุมให้ดำเนินไปอย่างที่ผู้คนต้องการ. สิ่งที่น่ากลัวสะพรึงกลัวที่สุดก็คือ สิ่งที่ผู้คนนั้นต้องการจริง ๆ."