The Condition of Free Culture


(เงื่อนไขสู่วัฒนธรรมเสรี)

ขอคิดต่อจากพี่เทพ

เป็นไปได้ว่า เหตุหนึ่งที่ free culture หรือ วัฒนธรรมเสรี นั้นยังไม่แพร่หลายหรือไปไม่ถึงไหนในบางสังคม ก็เพราะ วัฒนธรรมในสังคมนั้น ๆ ไปกันไม่ได้กับแนวคิด เสรี เป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมเสรี

เสรี = ไม่ต้องขออนุญาต

คุณสมบัติหลักของ สัญญาอนุญาตแบบเปิด (open licenses) ก็คือ การผู้นำไปใช้ไม่ต้องขออนุญาตผู้ถือครองลิขสิทธิ์

เพียงผู้นำไปใช้ ตกลงยินดีที่จะทำตามเงื่อนไข ที่ทางผู้ถือครองลิขสิทธิ์ประกาศเอาไว้แล้ว-อย่างชัดแจ้ง-ต่อสาธารณะ เขาก็มีสิทธิจะใช้งานนั้นในทันที

สิ่งนี้แปลว่า ถ้าคุณทำตามกติกาเดียวกัน ข้อตกลงเดียวกัน คุณก็จะได้รับการปฏิบัติเหมือน ๆ กัน

แต่สิ่งง่าย ๆ แบบนั้น ก็อาจจะเป็นเรื่องลำบากในสังคมหลายมาตรฐาน ที่กติกาเดียวกันก็มักจะให้ผลกับคนกลุ่มต่าง ๆ ต่างกัน

เป็นไปได้เช่นกันว่า เหตุหนึ่งที่วัฒนธรรมเสรี นั้นถูกเข้าใจเพี้ยน ๆ ไป เช่นว่า เสรี ก็คือ ให้ใช้ฟรี แค่ขออนุญาตกันก็พอ นั้นก็เพราะ ความมี ความเป็น authority เป็นเรื่องสำคัญในสังคมนั้น หรือ สังคมนั้นโน้มเอียงไปทางสังคมอุปถัมภ์

ความจำเป็นต้องอนุญาต นั้นแปลว่า จะยังต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มีอำนาจมากกว่าอีกฝ่ายเสมอ นอกจากนี้มันยังมีแง่มุมของการรวมศูนย์ (centralized) สู่ผู้ให้อนุญาต

ผู้ให้อนุญาตนี้เอง ที่จะเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดตัดสินว่า อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ — ซึ่งสิ่งนี้เช่นกัน ก็ไปกันไม่ได้กับเรื่อง ถ้าทำตามกติกาเดียวกัน ก็ควรรับผลเดียวกันเสมอกัน

เพราะความมี ความเป็น authority ที่ใหญ่กว่ากติกานั้น พูดง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ฉันคือกฎ

อยากจะอนุญาตคนนี้ แต่ไม่อนุญาตคนนั้น มีอะไรไหม ?

เสรี != (ไม่เท่ากับ) ไม่ต้องเสียเงิน

ดังที่ได้กล่าวไป การที่ผู้ใช้นำงานในสัญญาอนุญาตแบบเปิดไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ก็เพราะเขาได้ทำตามกติกาที่ทั้งตัวเขาเองและผู้ถือครองลิขสิทธิ์ต่างก็พอใจ

สิ่งนี้คือการแลกเปลี่ยนบนฐานของความพอใจและสมัครใจของทั้งสองฝ่าย — เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่าความเกื้อกูลระหว่างกันได้ แต่ที่แน่นอนคือ มันไม่ใช่ความเมตตา ไม่ใช่การทำบุญ ไม่ใช่การให้ทาน และไม่ใช่เรื่องบุญคุณ

(ทัศนคติของ องค์กรที่ บริจาค โค้ดเป็นโอเพนซอร์สแก่สาธารณะและให้ชุมชนมาร่วมทำงานด้วย กับ องค์กรที่ ส่งต่อ โค้ดเป็นโอเพนซอร์สแก่สาธารณะและเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในการทำงาน จึงเป็นสองทัศนคติที่แตกต่างกันอย่างมาก)

ความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้นำงานไปใช้และผู้ให้ใช้งาน ในวัฒนธรรมเสรี จึงเป็นไปในลักษณะเท่าเทียมเสมอกัน นั่นคือ ต่างก็เป็น peer กัน แลกเปลี่ยนกันในฐานะความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน

ซึ่งความเป็น peer ที่เสมอกันนี้เอง ที่ก็ไปกันไม่ได้อีก กับเรื่อง authority หรือความสัมพันธ์แบบมีระดับ (client/server, master/slave, …)

ความต้องการสร้างบุญคุณบารมี และ อำนาจในการอนุญาต (อย่างรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) จึงอาจจะเป็นอีกเหตุ ที่แนวคิดเสรี ใน วัฒนธรรมเสรี อาจจะไปกันไม่ได้กับ สังคมอุปถัมภ์ และ สังคมลำดับชั้น

เช่นนี้แล้ว ในทางหนึ่ง ขบวนการวัฒนธรรมเสรี (free culture movement) จึงอาจจะจำเป็นอยู่เอง ที่นอกเหนือจากความพยายามในการปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญาให้มีความเป็นธรรมเสมอภาคขึ้นกว่าเดิมหรือสร้างทางเลือกใหม่ เช่น เนื้อหาแบบเปิดต่าง ๆ แล้ว ก็อาจต้องเข้าร่วมกับการปฏิรูปสังคมโดยรวม เพื่อผลักดันสภาพของสังคม ให้เอื้อกับ แนวคิด เสรี ด้วย

เพราะตัววัฒนธรรมเสรีนั้นไม่ได้อยู่อย่างลอย ๆ หากสัมพันธ์โต้ตอบต่อรองกับวัฒนธรรมอื่น ๆ ในสังคม การเกิดและดำรงอยู่ของวัฒนธรรมเสรีจึงจำเป็นต้องมีสภาพที่เอื้อให้มันทำเช่นนั้นได้

โลกอีกแบบนั้นเป็นไปได้ แค่เปิดฝา แล้วก็แฮ็กมัน

technorati tags:
,
,
,


4 responses to “The Condition of Free Culture”

  1. คิดอะไรมากมายนักเสรี ก็คือ เสรีอนุญาต ก็คือ อนุญาตมารยาท ก็คือ ขออนุญาตมารยาทดี ก็คือ เคยขอแล้วก็ต้องขออีกก็มันของๆเขาถ้าเป็นของๆคุณ คุณก็มีเสรีในตัวเองเสรีในจินตนาการ คิดฝันอะไรก็คิดไปสิเรื่องเสรีนี่ เอาไปเขียนตำราผมว่า 10 เล่มก็ไม่จบนิยามยังไงก็ไม่ครบเขียนไป400มาตราก็ยังไม่ครบถ้าคนมันยังหาทางเลี่ยงหลบ

  2. นี่มันย้อนรอย ปัญหาของชื่อ free software จนต้องมี open source นิ

  3. anonymous: ทุกอย่างเป็นเรื่องสมัครใจครับเพียงแต่ถ้าไม่ได้เป็นอะไร ก็ไม่ควรจะเคลมว่าเป็นสิ่งนั้นmk: ยังไงอ่ะ ?พี่เทพเขียนต่อประเด็นนี้ Free Cultureพร้อมข้อสังเกตน่าสนใจหลายประเด็นพร้อมแนะนำงานแปลเรื่อง "ลงหลักปัญญาภูมิ"

  4. มาเสริม @mkfree software / open source แยกเป็นสองขั้ว RMS เป็นขั้ว free software ส่วน Linus เป็นขั้ว open source

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.